อากาศเย็น ทำให้กระโดดเชือกได้น้อยลง

 

                                                                                          

“อือ เย็นดีเหลือเกิน หลับเป็นตายเลยละ” พยักหน้า เพื่อนจึงบอกจะอาบนํ้าอีกหรือเปล่า เดี๋ยวจะพาไปชมไร่องุ่นของมัน ผมไม่ตอบแต่ลงนั่งข้างขจรแล้วเอ่ยทักคุณจรรยา ซึ่งตั้งแต่มาถึงเพิ่งจะพบ“สวัสดีครับ ไปไหนมาล่ะ ตอนถึงเมื่อเช้าไม่เห็น”หล่อนจะตอบ แต่เพื่อนรีบชิงพูดก่อน “ก็จ่ายตลาดแล้วทำกับข้าวให้เอ็งกินเมื่อเช้าไง”จึงร้องอ้อ แล้วถาม “สบายดีหรือหน้าตาดุเแจ่มใสนี่”หล่อนพยักหน้าและว่า “จ๊ะตามอัตภาพแหละนะ ที่นี่เงียบสงบดี ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ หรือในเมือง คุณหนอมล่ะ คงสบายดีสิ” ก็ล่ายหน้าและตอบ “ก็งั้นๆ ไม่ค่อย สบายเท่าไหร่หรอก กรุงเทพฯ ยังวุ่นวาย ร้อนก็ร้อน”ทักทายกันตามประสา ไม่พบกันนาน ขจรจึงบอกจะอาบนํ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า เดี๋ยวจะพาไปชมไร่องุ่น ที่กำลังให้ผลเต็มที่ทีเดียว ก้มมองตัวเอง แล้วบอก “เปลี่ยนสิวะ จะให้ไปทั้งกางเกงแพรอย่างงี้หมาไล่ฟัดแน่”ยังเอ่ยท้วงไหนบอกจะพาไปดูนายสมนักเลงโตไง “เออน่าได้เห็นแน่ เร็วเช้า.นี่บ่ายแล้วเดี๋ยวมืดเลืยก่อน” เพื่อนบอก พร้อมตบไหล่ผม จึงลุกเข้าห้องเปลี่ยนจากกางเกงแพรมาเป็นขาลัน เสื้อยืดคอกลมตัวเก่ง น้ำไม่อาบออกจากห้องไม่เห็นคุณจรรยาแล้ว เชือกกระโดดนำเข้า  ถามเพื่อน “เมียเอ็งไปไหนอีกวะ”ได้รับคำตอ'น

“ก็เข้าครัว เตรืยมมื้อเย็นไง” พูดจบพยักหน้าและบอก “ไป” พอจะก้าวลงบันได รถจี๊ปคันหนึ่งแฉลบดูดเข้าเทียบหน้าบ้าน คนขับรูปร่างลันทัดผิวเข้มบอกลักษณะ ชาวไร่เต็มตัว ขจรก้าวลงไปหยุดตรงพื้นซีเมนต์ตีนบันได เอ่ยทัก ขณะผู้มาใหม่ลงจากจี๊ปล่งยิ้มให้เพื่อน“อ้าว นิคม มีธุระอะไรหรือเปล่า”“ว่างครับ เลยอยากมาคุยด้วย กำลังจะไปไหนกันหรือ”ห'นุ่นร่างบึกบึนไว้ผมทรงลานบินเกรียนเกือบติดหนังหัวถาม“จะพาเพื่อนที่มาจากกรุงเทพฯ ไบ่คุไร่หน่อย ดีเลยไปด้วยกันไหม”เพื่อนตอบ จากนั้นแนะนำให้ผมรู้จักกับหนุ่มเจ้าของไร่ยาสูบ ยังบอกอีก นิคมเป็น คนพื้นที่นี้แต่กำเนิด จึงรู้เรื่องราวที่นี่ดีกว่าขจร  เชือกกระโดดสีชมพู โดยเฉพาะนายสมที่ผมสนใจ เมื่อนิคมพยักหน้ายินดีที่จะไปยังไร่องุ่นด้วยกัน จึงให้ไปรถจี๊ปของตน จะได้คุยกันในรถ ขจรจึงบอก “เออ จริงสินะ ให้เปลืองรถทำไมอีกคัน”

จากนั้นต่างขึ้นรถ นิคมขับออกไปประมาณสิบกิโลจึงถึง ไร่ของเพื่อนซึ่งยาวเหยียดร้อยกว่าไร่ ชื่นใจไปกับขจรมันด้วย ที่ผลิตผลกำลังงอกงามทำรายได้ให้เป็นอย่างดี เพื่อนบอกนี่เป็นส่วนหนึ่งทำให้มีความสุขอยู่ขณะนี้และคิดว่าจะปักหลักที่นี่ตลอดไป ผมพยักหน้าร้อง “อือ เห็นด้วย เพราะอากาศดี ธรรมชาติหรือก็สวย” เราอยู่ในไร่เกือบสามชั่วโมง จึงกลับกัน ขจรขอให้นิคมช่วยขับผ่านทางบ้านของนายสมบุรณ์ด้วย เพราะผมอยากเห็นนักเลงโตเก่า หนุ่มเจ้าของไร่ยาสูบหันมายิ้มแล้วถาม“จริงหรือครับคุณหนอม”“ใช่ครับ ทั้งที่บอกเป็นผู้กว้างขวาง คนกลัวเกรงทั่วตำบลแล้วเพราะอะไรล่ะ ถึงกับต้องส่งข้าวและนํ้า”ธาตุ พยักหน้าตอบ

“จริงครับ เห็นแกมาตั้งแต่อายุผมตอนนั้น สิบสองสิบสามเอง ขนาดสามต่อหนึ่งยังทานตาสมไม่ไหว”พุ่มนิคมสาธยายถึงสรรพคุณขณะมือจับพวงมาลัยประมาณครึ่งชั่วโมงเศษจึงถึงหน้าบ้านคนที่เราต้องการเห็นครั้นนิคมแตะเบรกให้รถจอดสนิท ขจรลงเดินเข้าไปขอบรั้วซึ่งใกล้พังแหล่ทั้งแถบ ผมมองเข้าที่ตัวบ้านไม่ใหญ่นัก ค่อนข้างเก่ามาก เชือกกระโดดไร้สาย ชายร่างสูงใหญ่แขนขายาวบอกลักษณะคนโบราณผมเรึ่มขาวประปราย มองนิ่งที่ขจร ไม้คํ้าสำหรับคนพิการขาด้วนวางพิงเก้าอี้ข้างตัว พร้อมปีนลูกซองพาดตัก แกนั่งอยู่ใต้ถุนซึ่งทะลุโล่งไปจนเห็นกอไผ่เป็นแนวด้านหลัง คงเห็นคนแปลกหน้าคือผม จึงหยิบปีนขึ้น

พาดบ่าสีหน้าเตรียมพร้อม เชือกกระโดดกำมะหยี่ “เป็นไงบ้าง ตาสม หิวอะไรไหม” ขจรเอ่ยถามเสียงดัง ชายสูงอายุเพียงส่ายหน้าไม่ตอบ เพื่อนจึงถามต่อว่า “ขอเข้าไปคุยด้วย'จะได้ไหม” ไม่มีเสียงออกจากปากของแกอีกยังเพ่งสายตามายังผมกับนิคมในรถ คงเห็น

 

เชือกกระโดด