การติดต่อครั้งแรก กับ เพื่อนต่างแดน (ภาคเสริม)

 

                                                       

เราจะหัวเราะ จะยิ้มได้เหมือนว่าเรากลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นในยุค 70กระนั้นแปลกนะครับ แม้แต่วันที่เราไม่ได้นัดกันเลย ก็ยังอุตส่าห์เดินซนกันเองจนได้ ในเวลาที่แปลกและลถานที่ที่ประหลาดแท้จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเลย ทั้งที่ลอสแอนเจลิสเป็นเมืองใหญ่ขนาดไหน แถมบ้านผมกับอัลเบิร์ตยังอยู่คนละสุดฟากเมืองโน่นอีกยิ่งปีสุดท้ายของอัลฌิร์ตยิ้งเกิดขึ้นบ่อยมาก บางทีเป็นแบบนี้อาทิตย์ละสามหนเลยทีเดียว ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเลยครับว่ามันเป็นบ่อยขนาดนี้ไปได้อย่างไรและทำไมต้องเป็น ตอนเขายังมีชีวิตอยู่ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้บ่อยนัก แค่ดีใจที่ได้เจอกันแบบแปลกๆ เท่านั้น มันเป็นช่วงพักหาเรื่องสนุกกับชีวิตบ้างนั้นเองมืครั้งหนึ่งที่เราบังเอิญเจอกันก็เลยซวนกันแวะร้านอาหารร้านแรกที่เจอเพื่อแวะกินสลัดลักหน่อย ในร้านมีเกย์สองคนที่หนุ่มกว่าเรานั่งกินอยู่ในร้านนั้นก่อนแล้ว พวกเขาดูปวยมาก คนหนึ่งมีแผลมะเร็ง Kaposi’s ร sarcoma ลามทั่วตัวไปหมด ส่วนอีกคนก็แทบไม่มืเรี่ยวแรงเดิน นั้าหนักตัวคงเหลือไม่ถึง 50 กิโลฯภาพที่เห็นโดนใจผมแรงกว่าอัลฒิร์ต อารมณ์ตกวูบ ผมถามอัลเบิร์ตว่านี่คือภาพเราในวันข้างหน้าจริงๆ ใช่ไหม เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ผมเห็นความเข้มแข็ง'ในตัวอัลเบิร์ต เขาหันหน้ามามองผมแล้วพูดอย่างไม่หวั่นไหวว่า “นั้นเป็นชีวิตของเค้าลองคนนั้นไม่ใช่ของเรา” ผมได้รับ เชือกกระโดดนับรอบราคาถูก ความมั่นใจคืนมาแล้ว อารมณ์จึงดีขนการคุยจึงเริ่มสนุกเหมือนปกติประโยคนั้นได้กลายเป็นหลักยึดเหนี่ยวของเราสองคนไปเลยครับ ยามใดที่เราคนไหนเกิดไม่แน่ใจหรือกลัวว่าจะไม่รอดจากเอดส่ขึ้นมา อีกคนก็จะบอกว่า “มันไม่ใช่เล้นทางของเรา” สัญญาณรัก ประโยคแสนเรียบง่ายนี้กลับให้พลังความเข้มแข็งมหาศาลนักด้วยความเชื่อนี้เองเราจึงสามารถเสริมกำลังใจให้กันและกันได้แล้วผมก็ติดเชื้อในซ่องหู มันปวดเอาเรื่อง แต่ผมไม่ยอมทานยาแก้ปวดเพราะอยากจะทานเฉพาะยาที่ไปล้กับโรคเท่านั้นไม,ใช่ล้กับอาการ แชรอนเพื่อนรักแนะให้ผมทดลองใซวิธี biofeed-back หรือ self-hypnosis สะกดจิตตัวเองดู ผมไม่แน่ใจเลยว่าสองนี้นี้นี้” นี้  นี้ นี้วิธีนได้ผล'จริง แต่ตอนนันคนมันกำลังสินหวังก็เลยลองปรึกษานักสะกดจิตชื่อดังคนหนึ่งดู

คือ นายแพทย์เมลวิน โคเฮน ก็เกิดมีเรื่องสำคัญหลายเรื่องหลุดออกมาแค่ไปพบหมอเพียงครั้งเดียวปัญญาธรรมของคุณหมอให้คุณค่าเหนือกว่าการสะกดจิตเลยด้วยซํ้าอย่างแรก ผมได้เรียนรู้บทเรียนเรื่องการให้อภัย ผมเพิ่งเข้าใจใหม่หมดเลยว่าคำว่าการให้อภัยหมายความว่าอย่างไรจริงๆผมเคยรู้สึกมาตลอดว่าการให้อภัยหมายถึงการที่เราสามารถมองให้พ้นจากความรู้สึกโกรธหรือเจ็บใจแล้วพบว่ามีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำของคนคนนั้น แล้วก็ปล่อยวางเสียแต่หมอโคเฮนกลับให้มุมมองอีกด้านหนึ่ง เขาบอกว่าการให้อภัยเป็นการกระทำที่เรารู้ว่าเราทำให้แก่ตัวเราเอง ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเลยเมื่อไหร่ที่มีคนทำผิดต่อเราหรือทำให้เราเสียใจ เรามีทางเลือก 2ทาง : เราจะเลือกจมอยู่กับความรู้สึกที่ยาแย่เลวร้าย แล้วเก็บมันไว้ข้างในเสียจนมันกลัดหนองเป็นพิษแล้วกลายเป็นโรคร้ายในที่สุดหรือเราจะใช้สติเลือกปล่อยความรู้สึกนี้ไปเพื่อเห็นแก่เราเองการรู้จักปล่อยวางเป็นการปลดปล่อยความโกรธแค้นและความเสียใจออกไป เพื่อประโยชน์ของตัวเราจริงๆ ครับ   เรื่องที่สองที่ผมได้เรียนรู้จากคุณหมอโคเฮนคือเรื่องธรรมชาติของ กระโดดเชือก การเกิดโรค เขาบอกให้ผมรู้ว่าไม่มีโรคใดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เป็นแล้วต้องตายแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ บางโรคอาจถึงตาย 99 เปอร์เซ็นต์ก็จริง แต่ไม่มีถึง 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอนจำนวนเปอร์เซ็นต์น้อยนิดของผู้รอดชีวิตจากโรคไต้ล้วนอาศัยสามปัจจัยคือ ความแข็งแกร่งของความคิดและจิตใจของผู้ป่วยเองบวกพลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ของเจ้าตัว แล้วรวมกับการตั้งใจมั่นที่จะล้างความคิดแง่ลบทั้งหมดออกไปจากจิตใจให้ได้เท่านั้นการไปรับการสะกดจิต เน้นที่ความตั้งใจล้างความคิดแบบบ่อนทำลายตัวเอง

ผมเริ่มใช้ชีวิตช้าลงจนถึงภาวะรู้จักผ่อนคลายเป็นจึงได้รู้ว่าผมมีวิธีการพูดแบบลบ ๆ กับตัวเองอย่างไรบ้าง คนเราทุกคนต้องมีปัญหานี้ใม่มากก็น้อยทั้งนั้นครับ ผมเริ่มตั้งใจจดสารด้านลบที่ขยันส่งออกมาหาตัวเองลงในสมุด แล้วใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยปลดปล่อยสารพวกนั้นออกไปจากชีวิต ผมเริ่มมองเห็นแล้วว่าสารเหล่านั้นเป็นเหมือนศัตรูตัวร้ายที่ผมไม่ควรเก็บไว้ในชีวิตอีกต่อไปการได้ความรู้แจ้งมาสองเรื่องเป็นเสมือนอาวุธที่ช่วยให้ผมตั้งใจมั่นว่าต้องรอดจากเอดล่ให้จงได้ ผมอยากเป็นหนึ่งในเปอร์เซ็นต์น้อยนิดนั้นไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีก็ตาม ผมพยายามแบ่งปันเรื่องที่ผมได้จากการสะกดจิตให้อัลเบิร์ตเรียนรู้ด้วยแง่มุมใหม่ในความเป็นเพื่อนของเราจึงเริ่มเปิด เชือกกระโดดดิจิตอล  เราสองคนช่วยกันค้นหาความหมายของชีวิต และแล้วคำถามเกี่ยวกับชีวิตโลกหน้าก็เริ่มผุดขึ้นมา สองคนเริ่มต้นทำงานอาสาสมัครในศูนย์พักของผู้ป่วยโรคเอดลัระยะสุดท้าย (Hospice) และเหตุที่เราได้ช่วยเหลือผู้อื่นนี่เองครับที่ช่วยให้เราเลิกจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเองไปได้เยอะ ช่วงเวลานี้ของชีวิตสำคัญกับเราทั้งสองคนมากเราช่วยกันสำรวจความคิด ความกลัว และความหวังเกี่ยวกับความตาย อ่านหนังสือมากมายหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น 'ManyLives, Many Masters ของนายแพท!]ใบรอัน แอล. ไวลั Life AfterLife ของนายแพทย์เรย์มอนด์ มูดี Man’s Search For Meaningของนายแพทยํวิคเตอร์ แฟรงเคิล และThe Tibetan Book of theDead

 

เชือกกระโดด